หน้าเว็บ

ค้นหาบล็อกนี้

12 กรกฎาคม 2556

ตลาดผักสด Ark Hill Market Tokyo

ตั้งใจจะไป Earth Day Flea Market ที่โตเกียวแต่ตลาดนี้เปิดแค่เดือนละ 2 วันอาทิตย์ วันอาทิตย์ที่เราโตเกียวก็ดันไม่สัมพันธ์กับวันเปิดตลาด ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนไปเดินตลาด Ark Hill Market ซึ่งเป็นตลาดผักสด ผลไม้ ที่เปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่ 10 โมงไปจนถึงบ่าย 2 โมง จากที่พักเรา Oak Hotel ก็ต้องขึ้นจากฝั่งตรงข้ามโรงแรมแล้วไปลงที่สถานี G06 แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย N06 ไปลงที่ N05 คือสถานี Roppongi Ichichome ออกจากสถานีทาง Exit 3 ไปยังตึก Ark Mori Building จากสถานีเดินตรงไปเรื่อยๆค่อนข้างสังเกตุยาก แวะถามยามของโรงแรมที่เดินผ่านก็ได้ (พนักงานโรงแรมส่วนมากจะพูดภาษาอังกฤษได้ดี) ตึกนี้ด้านหน้าจะมีร้านสตารบัค หรือแมคโดนัลด์ จำไม่ค่อยได้ เดินเข้าไปในอาคารจะมีบันไดเลื่อนอยู่ตรงหน้าเลย ขึ้นไปชั้นสองแล้วเดินทะลุออกไปด้านหลังสุดก็เจอตลาด

ตลาดอยู่บนชั้นสองของอาคารตรงบริเวณด้านหน้าป้ายนี้แหละ

พื้นที่ไม่ใหญ่โตแต่ดูดีสะอาดสะอ้าน สินค้าเน้นคุณภาพมาก

ไปถึงก็ลองนี้ก่อนเลย ซุปข้าวโพด

เดินตลาดนี้แล้วรู้สึกมีความสุขมาก บรรยากาศจริงน่าเดินกว่าในรูปนี้มาก

ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และสินค้าทำให้เพลิดเพลินในการเลือกซื้อ 

ผักกาดขาวอวบน่ากิน


นางชิมทุกร้านเลยนะ และนางก็ซื้อเกือบทุกร้านเหมือนกัน

มะเขือเทศนี้ก็อร่อย...หวานอมเปรี้ยวนิดๆ

ขนมก็เป็นแบบทำเองเอามาขายที่ตลาดวันเสาร์

แม่ค้าัวัยรุ่นขายผักกันอย่างสนุกสนาน (ไม่รู้โรงเรียนให้ปลูกผักเอาขายรึเปล่า )

เห็ดอาไรก็ไม่รู้ เอามาแกงไก่ใส่หน่อไม้กับใบย่านาง คงอร่อยน่าดู

ร้านนี้ บรรดา ส.ว. เค้าขายเครื่องประดับแฮนแมดเพื่อการกุศลเอาเงินไปช่วย เรฟูจี



มีโต๊ะให้นั่งกิน นั่งพักอยู่ 3-4 โต๊ะ

ขากลับนั่งอยู่ในรถไฟใต้ดิน อยู่มีหนอนที่ติดมากับผักไต่ออกมาจากกระเป๋าเป้สีดำ หล่นตุ๊บลงพื้น 5555555 คิดดูผักหน่ะสดและปลอดสารพิษแค่ไหน





เมืองขนมหวาน บ้านโบราณ Kawagoe

Kawagoe เป็นเมืองเล็กอยู่ในเขตจังหวัดไซตามะ ห่างจากโตเกียวเพียง 30 นาทีโดยรถไฟ จึงเหมาะแก่การเทึ่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ จะขึ้นจากสถานี Shinjuku หรือ Ikebukuro ก็ได้ เราเลือกอันใกล้ที่พักก็คือ Ikebukuro โดยขึ้นจากสถานีใกล้ที่พักคือ สถานี Inaricho โดยต้องข้ามถนนไปขึ้นฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม Oak hotel ขึ้นจากป้าย G17 ไปลง G15 แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีชมพู คือขึ้นที่ป้าย E09 ไปลงที่ E08 แล้วเปลี่ยนขบวนเป็น M21ไปลงที่ M25 คือสถานี (ต้องดูแผนที่เมโทรตามด้วยจึงจะเข้าใจสถานี) แล้วหาชานชลาของสาย JR (รถไฟบนดิน) ให้ดููููตามบอร์ดบอกเวลาและขบวนรถ คล้ายกับที่สนามบิน จะมีให้เลือกหลายสาย แบบเร็วแบบช้า แบบด่วน แบบไปเรื่อยๆ แล้วแต่ต้องการ รถไฟไป Kawagoe เห็นมีวิ่งถึ่ๆกันมากเลย บนรถไฟก็จะมีเสียงหวานแหว๋วประกาศชื่อสถานีไปเรื่อยๆ แต่ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ถามคนที่นั่งข้างๆเอาก็แล้วกันว่า Where is Kawagoe ? ไม่ต้องถามยาวเพราะเค้าไม่รู้เรื่องหรอกเน้นๆเอาที่ชื่อสถานที่ ที่เราต้องการจะไปก็พอ

พอถึงสถานี Kawagoe แล้วเดินออกมานอกประดู จะเห็นป้ายแผนที่อันใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าสถานี เดินผ่านมาด้านซ้ายจะเป็นห้างใหญ่ เดินลงบันไดมาเพื่อขี้นรถบัสตรงป้ายจอดหมายเลข 3 ซึ่งเป็นรถ Loop Bus ค่าตั๋วเหมา 1 วัน คนละ 300 เยน ซื้อตั๋วที่โต๊ะหน้ารถบัสแล้วจะได้ตั๋วกับแผนที่มา


Loop bus จะจอดป้ายตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ดูตามแผนที่เอา จุดใหญ่ๆก็ตรงหอระฆัง และเมืองเก่า ตรงสถานีรถไฟจะเป็นเมืองใหม่ทันสมัยด้วยห้างสรรพสินค้า แต่พอเข้าเขตเมืองเก่าแล้วจะเหมือนคนละขั่วเลย

จุดแรกที่ลงเป็นวัดอะไรรู้ชื่อ เห็นคนลงเยอะก็ลงตาม :)

เดินเข้าไปในวัดจะมีร้าน (เพิงหมาแหงน) ขายมันเคลือบน้ำตาล ร้านข้าวเกรียบอยู่ 2-3 ร้าน พอเดินผ่านคุณป้าเจ้าของร้านก็เรียกให้ชิม ให้มาตั้ง 3 ชิ้นใหญ่ เป็นเทศอร่อยมากแต่ยังอิ่มอยู่ เลยไม่ได้อุดหนุนคุณป้า 

ทุกวัดที่ญี่ปุ่นจะมีบ่อน้ำให้ล้างมือก่อนไหว้พระ

สวนญี่ปุ่นมีให้เห็นทั่วทุกที่ ที่ไปเที่ยว

รูปทรงของวัด (เปรียบได้กับโบสถ์บ้านเรา) จะคล้ายกันแบบนี้


คุณลุงคนนี้ขายทาโกะยากิ

ร้านเดินผ่านแล้วไม่เรียกให้เราชิม เลยเดินเข้าไปขอชิมเองซะเลย แล้วก็ไม่ได้ซื้อเพราะไม่ชอบรสชาด

เห็นตอนแรกนึกว่าร้านก๋วยเตี๋ยว แต่เป็นร้านขายมันเคลือบน้ำตาล

ถนนหนทางทุกที่จะสะอาดมาก ไม่มีแม้แต่ก้นบุหรี่ (ก็เขาไม่ให้สูบบุหรี่ตามท้องถนนนี่นา...ข้าราชการบ้านเราก็ขนกันไปดูงานที่ญี่ปุ่นก่อนบ่อยๆ แต่ไม่เห็นจะนำมาพัฒนาอย่างเค้าเลย)

ตรงหน้าป้ายจอดรถ loopbus ป้ายหน้าวัดจะมีร้านขายขนมที่ส่วนใหญ่ทำมาจากมันเทศ เดาว่าแถวนี้คงปลูกมันเทศกันเยอะ คนญี่ปุ่นกับชุดกิโมโนมีเห็นเป็นปกติ ดูงดงามมาก

หน้าร้านขายขนมหวาน


เดินเที่ยววัดและซื้อขนมเสร็จสรรพ ก็กลับมารอรถ loop bus (ป้ายเดิมที่ลง) เพื่่อจะไปหอระฆัง จากหอระฆังเดินไปเดินมา ก็ทะลุมาถนนบ้านโบราณ

สองข้างทางของถนนสายนี้เรียงรายไปด้วยบ้านโบราณ และนักท่องเที่ยวที่เยอะมากๆ

เดินจนเหนื่อยร้านอาหารก็ค่อนข้างเต็มทุกร้าน

ร้านนี้พอมีที่นั่ง ไม่รู้จะสั่งอะไรพูดไม่รู้เรื่อง ชี้ใส่นี้เลย ดังโงะ...น่าตาดีกลิ่นแป้งย่างของดังโงะก็หอม แต่รสชาดไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่

เหมือนข้าวจี้บ้านเรา อยากลอง แต่ดังโงะเจ้ากรรม 3 ไม้ครึ่งทำให้แน่นท้อง

แตงซูกินีแช่เย็นเสียบไม้ รสมันออกเค็มๆปะแล่มๆ

ร้านนี้ขายสารพัดผักดองและสารพัดให้ลองชิม หลายอย่างอร่อยมาก

มาที่ญี่ปุ่นนี้ชิมกันมันส์จริงๆ ไม่รู้รสไหนเป็นรสไหน เจ้าของร้านไม่หวงเลย ชิมแล้วไม่ซื้อก็ไม่ด่าเหมือนบ้านเรา...เอ...หรือว่าเค้าด่าแต่เราฟังไม่รู้เรื่อง 55555



ไม่ว่าร้านเล็กร้านใหญ่ ส่วนมากจะมีที่ให้นั่่งกินอยู่หน่อยนึง ร้านขายไอติมมีอยู่ทุกหนแห่งเหมือนร้านลาบยโส 

ร้านขายของเต็มไปหมด

จากถนนเมนที่เป็นบ้านโบราณจะมีทางแยกเพื่อไป ซอยขนมหวาน Candy alley



งาน Hand made ราคาค่อยข้างแพง


เดินมาเจอกิ่งก่าตัวนี้ก็เลี้ยวขวาแล้วจะเจอซอยขนมหวาน

ที่ซอยขนมหวานจะมีแต่ร้านขายขนมหวานเต็มทั้งซอยเลย....เ็ห็นอะไรก็อยากลองชิมไปหมด เกิือบทุกชิ้นหน้าตาน่ากินมาก แต่ไม่ทุกชิ้นหรอกนะที่อร่อย ซื้อมาแล้วจะทิ้งก็เสียดายตังค์ฝืนทนกินเข้าไปแล้วก็ต้องเสียเงินซื้อน้ำกินอีก 55555555...กินไม่ลงแล้วกลับโตเกียวดีกว่า :) พรุ่งนี้จะไปตลาดนัดผักสด Ark Hill Market






05 กรกฎาคม 2556

Japan เที่ยวญี่ปุ่น ไม่ต้องง้อทัวร์ ก็พอมั่วไปได้

Japan Chill Chill เที่ยวเองก็ได้

เที่ยวญี่ปุ่นเดือนมิถุนายน 56 เป็นเดือนสุดท้ายก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยกเว้นวีซ่าสำหรับคนไทยแต่ช่างเถอะยังไงก็ภูมิใจที่มีหน้าวีซ่าญี่ปุ่นติดในพาสปอร์ตเรา เครื่องการบินไทยออกจากสุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืนกว่า ไปถึงนาริตะตอน 8 โมงเช้า (เวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าเรา 2 ช.ม.) 

สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวเองแต่ไม่มีเวลานั่งศึกษาทำแผนการเดินทางก็สามารถใชับริการไกด์นำเที่ยวซึ่งเป็นคนไทยโดยคิดค่าบริการเป็นวัน (รับได้กรุ๊ปละ 6 คน) วันละ 17,500 เยน ถ้าหากอยากออกไปเที่ยวนอกโตเกียวอย่างเช่นไปดูฟูจิซัง ทีคาวากูชิโกะ,โยโกฮามา,คาวาโกเอะ หรือ ทาคายะมะ ก็มีรถตู้ไว้บริการโดยคิดค่าบริการวันละ 55,000 - 75,000 เยน (มีทั้งรถเก๋ง และรถตู้ 12 ที่นั่ง เป็นราคารวมค่าน้ำมัน, ทางด่วน, คนขับ และไกด์) ราคาก็ต่อรองกันดูได้นะคะเพราะไกด์ คุณต้น เนี้ยใจดีคะ บริการเยี่ยมคะ ใครใช้บริการแล้วประทับใจทุกราย สนใจลองส่งข้อความสอบถาม คุณต้น ทางเฟสบุ๊คแกดูได้นะคะที่นี่คะ  คลิก





ทริปประทับใจที่กรุ๊ปนี้ใช้บริการรถตู้ไกด์คุณต้น ที่มารับตั้งแต่สนามบินนาริตะ ไปดูฟูจิ ต่อไปทาคายะมะ ชมหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโก และโกกายะมะ เที่ยวแบบสบายๆ เห็นตรงไหนสวย อยากแวะตรงไหนก็บอกคุณต้นได้เลยค่ะ  จอดให้ทุกป้าย 555




                                          เมืองมรดกโลกชิราคาวาโกะ และ โกกายามะ



ส่วนใครที่ยังมีเวลาวางแผนการเดินทางโดยรถไฟ หรือหาเพื่อนมาแชร์ค่ารถยังไม่ได้ ก็มาลุยกันเองได้เลยคะ


ลงจากเครื่องก็เดินตามคนและตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆก็เจอด่านตรวจคนเข้าเมือง  ต.ม ของญี่ปุ่นน่าตาไม่เหี้ยมโหดเหมือนประเทศแถวยุโรป และไม่ถามอะไรเลย (หรือว่าน่าตาเราน่าเชื่อถือ อิอิ) รับกระเป๋าเสร็จสรรพ ก็เดินตามป้ายบอกทางไปขึ้นรถไฟเข้าเมืองโตเกียว








รูปนี้ถ่ายขณะยืนรอรถไฟที่สถานี Narita 

ตามป้ายไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอที่ซื้อตั๋ว เราเลือกสาย Keisei Line ก็ไปที่เค้าท์เตอร์ Keisei  เจ้าหน้าที่ก็จะเอาตารางเวลาและราคาให้เราเลือก ราคาตั๋วถูกแพงก็เป็นไปตามความรวดเร็วของการเดินทาง เราไม่รีบเร่งมากก็เลือกแบบ 1000 เยน ตามแผนที่จะเป็นสายสีฟ้า นั่งสบายๆไร้กังวลไม่ต้องกลัวลงผิดป้ายเพราะเราจะลงสุดสายที่ Keisei Ueno ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆๆ ส่วนใครจะลงป้ายอื่นก็ดูได้ตามแผนที่

ส่วนใครที่ซื้อ JR Pass มาก็สามารถเปิดใช้ตั๋วได้ที่เค้าท์เตอร์ JR ที่สนามบินก่อนและใช้เดินทางเข้าเมืองกับสาย Narita Express ได้เลย

และยังมีอีกหลากหลายบริการที่จะเราเข้าเมืองโตเกียวได้ ลองหาวิธีที่เหมาะสมกันเองได้ที่นี้เลยคะ คลิก

ที่สถานีรถไฟ Keisei Ueno จะมีร้านเบอเกอรี่ไสต์ฝรั่งเศส อยู่ใกล้ๆเค้าท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ร้านนี้เซนวิชผลไม้อร่อยมาก ครีมนุ่มอร่อยยยย....




แซนวิชผลไ้ม้ หน้าตาเย้ายวนชวนกิน รสชาดก็แสนจะอร่อย....

แซนวิชผลไม้อาหย่อย.....


จากสถานีรถไฟ Keisei Ueno station ซึ่งอยู่ติดกับสถานี่ JR Ueno station เดินออกมาพ้นประตูสถานีแล้วใ้ห้เลี้วยซ้ายแล้วเดินไปเรื่อยๆผ่านสวนสาธารณะ Ueno Park ก็จะเจอสถานี JR Ueno station ซึ่งสถานีนี้เป็น Metro (รถไฟใต้ดินด้วย) ทางไปโรงแรม Oak Hotel ก็เดินตามแผนที่นี้ได้เลย Oak Hotel Tokyo   โรงแรมนี้ห้องเล็กมาก โดยเฉพาะห้องน้ำแต่ความสะอาดและความสะดวกเพราะใกล้กับสถานี Inaricho station(Ginza line) และร้านสะดวกซื้อ Mini Stop (เปิด 24 ช.ม) เพียง 2-3 นาที รวมทั้งร้านอาหาร ร้านโซบะให้เลือกมากมาย 

รถไฟใต้ดินโตเกียว Tokyo Metro 

แผนที่โตเกียวเมโทร  คลิก 
ดูแผนที่เมโทรของโตเกียวเนี้่ยต้องเตรียมยาดม ยาลมไว้ข้างๆ เห็นแผนที่ครั้งแรกจะเกิดอาการท้อแท้ คิดในใจว่า จะรอดมั๊ยงานนี้ แถมมีคนขู่อีกว่าถ้าเลี้ยวผิดช่องในสถานีรถใต้ดินโตเกียวจะหาทางออกไม่ได้ ...ป้าดดด อะไรจะขนาดนั้น  แต่คำขู่ก็คือแค่คำขู่ เพราะจริงๆแล้วการขึ้นรถไฟใต้ดินโตเกียวไม่ได้มีอะไรยากเย็นเลย หลักการก็เหมือนระบบรถไฟใต้ดินที่ทั้วทั้งโลกใช้กัน เพียงแต่มันมีหลายสายและชื่อสถานีที่เราอ่านไม่ออกรวมผู้คนที่เยอะมากๆเดินสวนกันไปมาเลยทำให้เีวียนหัวตอนเห็นครั้งแรก

Station Numbers

แต่ละสถานีจะมีชื้อเรียกและหมายเลขกำกับ แต่ละสายก็จะแทนด้วยสีต่างๆ เราก็ใช้วิธีจำสีและหมายเลขเอา อย่างเช่น โรงแรมเราอยู่ใกล้สถานี Inaricho  และสถานี Ueno  ดูในแผนที่เมโทรจะเห็นว่าสายที่ผ่านก็คือ สีเหลือง G17 หากเราจะไป Asakusa ซึ่งอยู่สถานี G19 เราก็ต้องขึ้นด้านที่มีป้ายที่มีลูกศรชี้ไปทาง G18 ซึ่งหมายถึงสถานีถัดไป ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นลูกศรชี้ไปทาง G16 

เมื่อเราต้องการจะไปลงที่สถานีไหน เราก็ทำการบ้านก่อนเช่นเราวางแผนว่าจะไปตลาดปลา Tsukijishijo ดูจากแผนที่ก็คือสถานี E18 สาย E เป็นสายสีชมพูแต่ไม่ผ่านสถานี Inaricho ที่เราอยู่ ฉะนั้นก็ต้องหาจุดตัดของสายสีเหลือง กับสีชมพู ตรงจุดตัดก็คือสถานีที่เราต้องเปลี่ยนรถไฟ ตามแผนที่ก็ต้อง

1- จาก Inaricho (G17) ไปทาง G16 ลงที่ G15 แล้วเดินตามป้ายบอกทางไปสายสีชมพู E09 หมายถึงว่าสถานีนี้ (Ueno-Okachimaci) จะมีสายสีเหลืองเป็นสถานีที่ E15 และ สายสีชมพูสถานีที่ E09 ผ่านนั้นเอง

station name displays
ต้วอย่างป้ายที่สถานีใต้ดินที่เป็นจุดเปลี่ยนขบวน  ตามรูปป้ายจะบอกว่าสถานี Omete-sando มีสายสีเหลือง สีม่วง และสีเขียวที่ผ่านสถานีนี้

2- เมื่อหาแพลทฟอร์มของสาย E09 เจอแล้วก็ขึ้นด้านที่มีลูกศรชี้ว่าไป E10 เพื่อที่เราจะไปลง E18 ได้ ที่ชานชลาจะมีสองฝั่งคือด้านที่มุ่งหน้าไป E08..E07... และอีกฝั่งจะมุ่งหน้าไป E10...E11...

3- เมื่อลงที่สถานี E18 แล้ว แต่ละสถานีจะมีทางออกหลายทาง เราก็ดูแผนที่เอาว่าทางออกหมายเลขอะไรจะไปตลาดปลา Tsukiji fish market ซึ่งที่สถานีจะมีป้ายบอกว่า ทางออกหมายเลขอะไร จะไปถนนอะไร หรือสถานที่ไหน

ตั๋วรถไฟใต้ดิน  ค่อนข้างจะยากหากต้องซื้อเป็นเที่ยวเพราะต้องซื้อกับเครื่องเ่ท่านั้น และราคาตั๋วจะคิดตามระยะทาง แถมเจ้าเครืองขายตั๋วก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษอีกตะหาก (มีบางเครื่องที่มีอังกฤษแต่หายากมาก) วิธีที่สะดวกก็คือซื้อตั๋ววัน หรือซื้อ IC card พวก Suica หรือ Passmo ที่ใช้่จ่ายค่าโดยสารรถใต้ดินโดยไม่ต้องซื้อตั๋วและสามารถใช้ซื้อของจากบรรดาตู้กดทั้งหลายแหล่ รวมทั้งใช้จ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อหลายร้านได้ด้วย ส่วนตั๋วรถไฟบนดิน JR Pass นั้นใช่ไม่ได้กับ รถไฟใต้ดิน Metro




เจ้าบัตรสองแบบนี้ซื้อได้ทีเค้าท์เตอร์ที่สถานีรถใต้ดินหรือกับเครื่อง ขั้นต่ำ 1000 เยน ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนั้นซื้อ 1500 เยน เพราะต้องมีค่ามัดจำบัตร 500 เยน ก็คือมีเงินในบัตร 1500 เยน แต่ใช้ได้เพียง 1000 เยน เมื่อได้บัตรนี้มาแล้วก็สบาย แตะแล้วผ่านได้เลย หากใช้หมดก็สามารถเติมเงินเข้าในบัตรได้โดยผ่านเครื่องขาย ก็เติมไม่เป็นอีกนั้นแหละแต่ไม่เป็นไร ส่วนมากจะมีเจ้าหน้าที่รถไฟยืนอยู่แถวๆนั้นก็ขอให้เค้าช่วยเติมให้ได้ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เราเจอ ให้ความช่วยเหลือดีมากแม้จะพูดอังกฤษไม่ได้


เอาบัตรแตะแล้วประตูก็จะเปิด หากซื้อตั๋วเป็นเที่ยวก็เอาตั๋วสอดเข้าในช่องด้านบนใกล้ๆกับที่แตะ แล้วบัตรที่สอดเข้าไปก็จะไปโผล่ออกที่ช่องปลายสุด อย่าลืมเก็บตั๋วนี้ไว้ด้วยเพราะต้องสอดเข้าเครื่องเพื่อให้ประตูเปิดตอนออกจากสถานีอีก ส่วนบัตรพาสโมก็เหมือนกันเวลาออกจากสถานีก็ต้องเอาบัตรแตะอีกที่เพื่อให้ประตูเปิดและเจ้าเครื่องประตูก็จะได้คำนวณค่ารถเพื่อหักจากบัตรเรา ส่วนเงินมัดจำบัตร 500 เยนนั้นจะได้คืนเมื่อเราเอาบัตรไปคืน แต่รู้สึกว่าจะระบุสถานีที่คืนด้วยน่ายุ่งยากนิดนึง เก็บไว้ใช้คราวหน้าก็ได้ เพราะบัตรใช้ได้ภายใน 10 ปี

JR Pass  บัตรโดยสารรถไฟแบบเหมา มี 7 วัน 14 วัน 21 วัน เลือกตามการใช้งานของเรา ซื้อจากเมืองไทยไปจะได้หน้าตาแบบนี้ คือเป็นตั๋ว Exchange Order เมื่อต้องการจะให้เริ่มใช้วันที่เท่าไหร่ ก็ต้องไปขอเปิดใช้ที่เค้าท์เตอร์ JR ที่ญี่ปุ่นเอา ต้องเตรียมพาสปอร์ตและกรอกรายละเอียดนิดหน่อยเจ้าหน้าที่ก็จะทำการเปิดตั๋วให้ รายละเอียดในการใช้ตั๋วและราคา คลิก


เมื่อทำการเปิดตั๋วเสร็จก็จะได้ตั๋ว JR หน้าตาแบบนี้ ที่ระบุวันที่ และชื่อรวมทั้งหมายเลขพาสปอร์ตของเราติดไว้ด้วย เวลาจะใช้ที่นี้มันจะผ่านเครื่องไม่ได้แล้ว ให้เดินเข้าช่องซ้ายสุด (บางสถานีก็ขวาสุด) ที่เป็นหน้าต่างที่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจเราก็โชว์บัตรนี้ใ้ห้ดูทั้งตอนเข้า และ ออก จากสถานี




ในการเดินทางข้ามเมืองที่ไกลๆและมีสัมภาระพะรุงพะรัง เราจะจองที่นั้งไว้ก่อนก็จะดี ในการจองที่นั้งก็ไม่ยาก แต่จะยากอีตอนเดินหาเค้าท์เตอร์นี้แหละ หาเค้าท์เตอร์ JR สีเขียวๆที่มีรูปคนนั้งเอกเขนก หน้าตาแบบนี้ 


แล้วก็แจ้งขบวนรถ, เวลาและ จุดหมายปลายทางให้เจ้าหน้าที่ทราบ ถ้าไม่ทราบขบวนก็แจ้งแต่จุดหมายปลายทางและเวลาที่ต้องการโดยประมาณ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จะหาให้มาให้เราเลือกเอง ในการสำรองที่นั้งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลย แต่ถ้าหากพลาดขบวนรถที่เราจองก็ไม่ต้องตกใจ จะขึ้นขบวนไหนแทนก็ได้แต่ให้ขึ้นโบกี้ที่แขียนว่า Non Reserved ซึ่งจะไม่ระบุที่นั่ง เห็นว่างตรงไหนก็นั่งได้เลย


ใบจองที่นั้งเจ้าหน้าที่เห็นว่าเราอ่านญี่ปุ่นไม่เป็นเลยเขียนกำกับไว้ให้ด้วย บริการดีจริงๆ
เมื่อได้ใบจองที่นั้ง Seat Reservation แล้วเวลาขึ้นรถไฟก็ต้องขึ้นให้ถูกโบกี้ด้วย ซึ่งที่แพลทฟอร์มสังเกตุตรงพื้นจะมีเขียนหมายเลขให้ดูว่าโบกี้ที่เท่าไหร่จะจอดตรงไหน ตามตั๋วข้างบนเราจะต้องขึ้นโบกี้ (car) ที่ 11 หมายเลขที่นั้ง 7B เป็นขบวนรถที่ชื่อว่า Shinkansen Hikari 473 เดินทางจาก Shinagawa ไป Nagoya เวลาเจ้าหน้าที่บนรถไฟมาตรวจตั๋วก็เอาทั้งตั๋วจองนี้และตั๋ว JR Pass ให้ดู

เราสามารถวางแผนการเดินทางโดยเช็คตารางเวลา, ระยะเวลาในการเดินทาง, การเปลี่ยนขบวนรถไฟ รวมทั้งราคา ได้ที่ เวป Hyperdai    คลิก 

เข้าใจแผนที่เมโทรแล้วก็พร้อมลุยโลด...

Asakusa วัดอาซากุสะ หรือวันเซนโซจิ  จากสถานี Inaricho G17  ใ้ห้ขึ้น (จริงๆเดินลงสถานีใต้ดิน) ฝั่งเดียวกับ โรงแรม Oak ที่เราพัก นั้งไปอีก 2 ป้าย ลงที่สถานี Asakusa G19 เวลาเดินออกจากสถานีก็ดูป้ายที่เขียนว่า Sensoji temple พอเดินขึ้นบันไดจากสถานีออกมาก็จะเจอ วินรถลาก (Rickshaw) เรียงแถวไปเป็นระยะๆจนถึงหน้าทางเข้าวัด สังเกตุเห็นโคมสีแดงใหญ่ยักษ์นั้นก็คือมาถูกทางแล้ว





ด้านหน้าประตูก็ยังมีหนุ่มรถลากในชุดกางเกงฟิตเปี๊ยะเต็มไปหมด




พอเดินลอดผ่านประตูโคมยักษ์เข้ามา....ว้าวววว...ร้านขายของเต็มสองข้างทางเลย ส่วนมากจะเป็นของที่ระลึกกับขนม



ไหว้พระเสร็จเดินออกด้านซ้ายมือของวัด





จะมีประตูโขง (ญี่ปุ่น) เดินออกไปจะเป็นร้านขายของแต่ไม่มาก



 ด้านนี้คนเดินน้อย ร้านขายของก็เลยน้อยตามไปด้วย เอ...หรือเพราะร้านขายน้อย คนเลยน้อยกันแน่...



พ้นประตูโขง (ญี่ปุ่น) ออกไปไม่ต้องเดินไปทางร้านขายของ ให้เลี้ยวขวาแล้วเิดินอีกหน่อยก็จะเจอ Asakusa Kannon Onsen ออนเซนโบราณ



ค่าออนเซนคนละ 700 เยน โปรดอ่านก่อนลงแช่ อิอิอิ...




ข้าวของต่างๆก็โบราณ คนเก็บงินก็โบราณ แต่คนไปออนเซนไม่โบราณนะจ๊ะ
ต้องโป๊ตั้งแต่ตู้ล็อกเกอร์ไปเลยนะ เอาเสื้อผ้าทั้งเครื่องนอกเครื่องในใส่ไว้ในตู้นี้แล้วเดินแบบหวิวๆออกประตูไปลงบ่อแช่ อิอิอิ



 เสียดายพอแช่เสร็จว่าจะถ่ายรูปบ่อออนเซนแต่มีคุณป้า่ท่านหนึ่งเิดินมาแช่         เลยไม่กล้าถ่าย



 Tokyo Cruise Ship Himiko เรื่อที่มีรูปลักษณ์แปลกตาเหมือนยานอวกาศนี้ล่องจาก Asakusa ไปเกาะ Odaiba แต่พอนั่งแล้วก็ไ่ม่มีอะไรตื่นเต้น ค่าเรือแพงถ้าจะไป Odaiba นั้งรถไฟไปดีกว่า




ท่าเรือที่เกาะ Odaiba

 อากาศตอนเย็นๆที่ Odaiba ช่างสุนทรีย์จริงๆ




ไม่ใช่นิวยอร์ค เทพีนี้้อยู่ Odaiba Tokyo



พรุ่งนี้เราจะไป Kawagoe กัน.......